เมืองสิงห์บุรี
ในสมัยรัตนโกสินทร์นั้นนะคะ มีหลักฐานปรากฎในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า เมื่อโปรดให้ มีการจัดการปกครองประเทศเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาลแล้ว โปรดให้นำเมืองสิงห์บุรี เมืองอินทร์บุรี และเมืองพรหมบุรี เข้ามาอยู่ในมณฑลกรุงเก่า และต่อมาในพุทธศักราช 2439 โปรดให้ยุบสามเมืองนี้แล้วตั้งเมืองใหม่ขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ด้านทิศตะวันตก ที่ตำบล บางพุทรา และพระราชทานนามใหม่ว่า เมืองสิงห์บุรี หลังจากนั้น จึงเริ่มมีการก่อสร้างอาคารสถานที่ราชการสำคัญๆขึ้นหลายแห่ง
...ทุกวันนี้ ริมฝั่งเจ้าพระยาในตัวเมืองสิงห์บุรี เราก็ยังคงพบเห็นสถาปัตยกรรมที่เป็นศิลปะแบบโคโลเนียลอยู่ คือมีลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนชั้นเดียว ทรงยุโรป หรือที่เรียกกันว่า ทรงปั้นหยา อย่างที่มดกำลังจะพาไปชมตอนนี้ค่ะ
อาคารทรงยุโรปที่เห็นอยู่นี้คือ ศาลจังหวัดหลังเก่าค่ะ สร้างขึ้นเมื่อรัตนโกสินทร์ศก 129 หรือ พุทธศักราช 2453 ก่อนสร้างศาลากลางจังหวัดหนึ่งปี ศาลจังหวัดสิงห์บุรีแห่งนี้แต่เดิมเรียกว่า "ศาลเมืองสิงห์บุรี" มีฐานะเป็นศาลหัวเมือง ที่จัดตั้งขึ้นรวมอยู่ในศาลมณฑลกรุงเก่า ตัวอาคารศาลเป็นผนังก่ออิฐถือปูนชั้นเดียว ลักษณะเป็นอาคารแบบยุโรปซึ่งร่วมสมัยกับสถาปัตยกรรมที่เมืองฉะเชิงเทรา และเมืองปทุมธานี ด้านหน้าอาคารตอนบนมีหน้ากระจังและมีตราแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 และที่บริเวณด้านหน้านอกตัวอาคาร มีพระอนุสาวรีย์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ขนาดเท่าพระองค์จริง ทรงยืนฉลองพระองค์ครุยเนติบัณฑิตไทย พระหัตถ์ซ้ายทรงถือตำรา และต่อมาศาลเมืองสิงห์บุรี ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็นศาลจังหวัดสิงห์บุรีในพุทธศักราช 2459 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวทรงแก้ไขระเบียบการปกครองและจัดแบ่งส่วนราชการใหม่ ให้เปลี่ยน คำว่า "เมือง" เป็น "จังหวัด" แทนค่ะ
แต่ปัจจุบัน อาคารหลังนี้ก็ไม่ได้ใช้เป็นที่ทำการแต่อย่างใดแล้วนะคะ กรมศิลปากรได้ทำการบูรณะให้อยู่ในสภาพดี และประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2532 และให้อยู่ในความดูแลของศาลจังหวัดสิงห์บุรีค่ะ
...และเมื่อเดินต่อไปอีกนิดนึง ก็ถึงแล้วค่ะ ศาลากลางจังหวัดหลังเก่า ซึ่งสร้างในอีกหนึ่งปีถัดมา หลังจากการสร้างศาลเมืองสิงห์บุรีได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ศาลากลางจังหวัดสิงห์บุรีหลังนี้ สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2454 หลังจากสร้างศาลจังหวัดหนึ่งปี เป็นอาคารชั้นเดียว ก่ออิฐถือปูนแบบตะวันตก ทรงปั้นหยา มีขนาดกว้าง 15 ห้อง มีมุขกลาง หลังคามุงกระเบื้องซีเมนต์ พื้นไม้เนื้อแข็ง ด้านหน้าอาคารตอนบนมีตราแผ่นดินรัชกาลที่ 5 เช่นเดียวกัน และกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติ ในพุทธศักราช 2533
ปัจจุบัน อาคารหลังนี้อยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งได้ปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์ และจัดแสดงนิทรรศการสำคัญๆไว้ภายในอาคารค่ะ
เสน่ห์ของเมืองสิงห์บุรีอีกอย่างหนึ่งที่มดเห็นก็คือ การตั้งชื่อถนนในเมืองเป็นชื่อวีรชนบ้านบางระจัน อย่างเช่นถนนนายแท่น ถนนนายดอก ถนนนายทองเหม็น ถนนนายเมือง หรือถนนพันเรือง ทำให้ผู้คนทั้งหลายทั้งที่อยู่ที่นี่ก็ดี หรือ ผู้คนที่เป็นนักท่องเที่ยวก็ดี เห็นแล้วรู้สึกถึงความภาคภูมิใจในเหล่าบรรพชนของคนไทยได้ตลอดเวลาเลยล่ะค่ะ
จากการเดินทางของ TRAVEL CHOICE ในทริปนี้ คือตามเส้นทางสาย อ่างทอง – สิงห์บุรี มดบอกว่าจะต้องพาไปชมวัดพระนอนกันถึง 3 วัด และจะต้องเป็นพระนอนที่มีพุทธลักษณะแบบสุโขทัยอีกด้วย จำได้ใช่มั๊ยคะ ทวนความจำกันนิดนึงนะคะ เราไปชมกันมาแล้ว 2 วัด คือ พระนอนวัดป่าโมกวรวิหาร และพระนอนวัดขุนอินทประมูล ทั้งสองแห่งนี่ อยู่ในจังหวัดอ่างทองค่ะ ดังนั้นยังเหลืออีกแห่งนึงค่ะ จะเป็นที่ไหนนั้นไปชมกันค่ะ...
วัดพระนอนแห่งที่สามที่มดได้มานมัสการก็คือ "วัดพระนอนจักรสีห์วรวิหาร" ค่ะ ตั้งอยู่ที่บ้านพระนอน ตำบลจักรสีห์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ห่างจากศาลากลางจังหวัดราว 4 กิโลเมตร สันนิษฐานว่าวัดนี้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยก่อนกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี
พอเข้าไปในวัดก็จะเจอกับต้นสาละต้นใหญ่มาก ออกดอกบานสะพรั่ง สวยงาม ชาวสิงห์บุรีมีความเชื่อว่าหากมีโอกาสได้มานมัสการวัดพระนอนจักรสีห์ แล้วเดินชมต้นสาละลังกาใหญ่ที่ปลูกไว้กว่าหนึ่งร้อยต้นในวัดแล้วอธิษฐาน จากนั้นปรบมือใต้ต้นสาละ ถ้าดอกสาละร่วงลงมา ก็แสดงว่าคำอธิษฐานนั้นจะประสบผลตามที่หวังไว้ค่ะ
เดินเข้าไปอีกหน่อย เป็นทางเข้าไปพระวิหารเพื่อนมัสการองค์พระนอนจักรสีห์ รู้สึกทึ่งมากเลยค่ะ เพราะองค์ท่าน เหลืองอร่าม สว่างไปทั่วพระวิหาร เป็นพระพุทธรูปไสยาสน์ ปางโปรดอสุรินทราหู หรือแปลความหมายก็คือ เป็นรูปของพระพุทธเจ้าปางไสยาสน์ เทศนาปาฏิหาริย์แก่อสุรินทราหูผู้เป็นยักษ์ เพื่อลดทิฐิของอสุรินทราหูที่ถือว่ามีร่างกายใหญ่โตกว่ามนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงเนรมิตร่างกายให้ใหญ่กว่ายักษ์
องค์พระสร้างด้วยปูนปั้นลงรักปิดทอง มีพุทธลักษณะแบบสุโขทัยที่มีความงดงามมาก ลักษณะของพระพักตร์หันไปทางทิศเหนือ พระเศียรหันไปทางทิศตะวันออก พระศอกขวายื่นไปด้านหน้า ไม่ทำงอพระกรตั้งขึ้นรับพระเศียรเหมือนพระพุทธไสยาสน์โดยทั่วไป และถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่และยาวมากอีกองค์หนึ่งของประเทศ คือยาว 1 เส้น 3 วา 2 ศอก 1 คืบ 7 นิ้ว หรือ 47 เมตร 42 เซนติเมตร
นอกจากนี้ยังมี พระกาฬ และพระแก้ว เป็นพระพุทธรูปศิลาลงรักปิดทอง สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 และเคยเป็นพระประธานในการถือน้ำพิพัฒน์สัตยาของข้าราชการในสมัยนั้น อย่างไรก็ตามนะคะ ถึงแม้ประวัติการสร้างวัดพระนอนจักรสีห์แห่งนี้ จะไม่มีการบันทึกเป็นเอกสารหลักฐานที่ชัดเจน นอกจาก มีเพียงตำนานเล่าสืบต่อกันมา แต่ก็เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสิงห์บุรีมาช้านานทีเดียวค่ะ...
TRAVEL CHOICE กับเส้นทางอ่างทอง – สิงห์บุรี ได้สิ้นสุดลงที่นี่แล้วนะคะ แต่ก่อนจากกัน เหมือนเช่นเคยค่ะ มดจะทิ้งท้ายไว้ด้วย ภาพสวยๆจากการเดินทางตามเส้นทางสายนี้กันอีกครั้ง
....และอย่าลืมนะคะว่า TRAVEL CHOICE เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการท่องเที่ยว ที่เติมเต็มความสุขให้กับชีวิตคุณค่ะ
วันที่: Mon Nov 25 11:45:27 ICT 2024
|
|
|